บทความน่าสนใจ

หลิวเต๋อหัว เลสลี่ จาง และความสามานย์ในวงการบันเทิง

หลิวเต๋อหัว เลสลี่ จาง และความสามานย์ในวงการบันเทิง

10/01/2564
หลิวเต๋อหัว เลสลี่ จาง และความสามานย์ในวงการบันเทิง
:เก้ากระบี่เดียวดาย

เนื่องจากมีสหายเพจท่านนึงสอบถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหลิวเต๋อหัว และ เลสลี่ จาง ว่าเคยมีปัญหากันจน เลสลี่ จาง เคยด่า หลิวเต๋อหัว ว่าหลิวเต๋อหัวมันโง่ จริงหรือไม่ คำตอบคือจริงขอรับ


เรื่องราวนี้เกิดขึ้น เมื่อแฟนคลับที่ญี่ปุ่นจัดงานมิตติ้งกับเลสลี่ จางในปี 1998 โดยมีหัวข้อหลัก
คือการพูดคุยเกี่ยวกับหนัง “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ เดอะ มูฟวี่” (1996) และ มีสื่อถามเรื่องปัญหาของ
เลสลี่ จาง กับ หลิวเต๋อหัว และ จู่ๆ เลสลี่ จาง ก็หลุดปากออกมาเป็น ภาษาญี่ปุ่นว่า
“Andy Lau wa Baka” (หลิวเต๋อหัวมันโง่)

ความสัมพันธ์อันเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่การร่วมงานกันใน เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ เดอะ มูฟวี่ (Shanghai Grand/1996) ที่เป็นผลงานอำนวยการสร้างของ ฉีเคอะ และเป็นผลงานกำกับของ  พันเหวินเจี๋ย (ผู้กำกับ เป๋ห่าว เป็นเจ้าพ่อ To Be Number One /1991)

การร่วมงานกันระหว่างสอง ซุปเปอร์สตาร์อย่าง เลสลี่ จาง และ หลิวเต๋อหัว ในยุคนั้นยิ่งทำให้ภาพยนตร์เป็นที่จับตา ปัญหาเกิดจากรูปแบบการแสดงของทั้งสองนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก สำหรับเลสลี่ จาง นั้นเป็นนักแสดงสายรางวัล ที่จะลงลึกในบทบาทการแสดง
ส่วนหลิวเต๋อหัว จะเป็นนักแสดงสาย คาแรกเตอร์ ที่มีความเด่นชัด ในตัวละครที่มีรูปแบบ
ลักษณะคงที่และอยู่ในความนิยมของแฟนๆที่ติดตาม หากจะให้เปรียบเทียบ การแสดงของ
หลิวเต่อหัว จะคล้ายคลึงกันกับทอม ครูซ ที่จะแสดงในบทบาทที่ค่อยเปลี่ยนรูปแบบเท่าไหร่นัก แต่ก็มีผู้ชมติดตามในฐานะดาราที่มีหนังทำเงิน

ความแตกต่างทางการแสดงของทั้งสองนั้น ทำให้ทั้งคู่เริ่มมีปัญหา เนื่องจากเลสลี่ จาง
จะเป็นนักแสดงที่จะคอยให้นักแสดงที่แสดงคู่กันกับเขา เข้าถึงบุคลิก ลักษณะตัวละครอย่าง
ที่ควรจะเป็น เหมือนตอนที่เขาใช้เวลาพูดคุยกินข้าวเย็นกับเหลียงเฉาเหว่ย ทุกวันเพื่อให้
เหลียงเฉาเหว่ย เข้าถึงตัวละครของ ไหลเยี่ยฟาใน  Happy Together (1997)

แต่สำหรับภาพยนตร์ เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ เดอะ มูฟวี่ (Shanghai Grand/1996)  เป็นหนังที่
ค่อนข้างตลาด ดังนั้นการทำงานทั้งสองจึงต้องถูกปรับจูนให้เข้ากัน ใหม่ บวกกันกับการถ่ายทำเพียง 3 เดือน แต่ต้องถ่ายทำในสามเมือง ทั้ง เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และ เซิ่นเจิ้น  เดินทางสลับ
ไปมา 2 ครั้ง ยิ่งสร้างความเหนื่อยล้าให้กับทั้งทีมงานและนักแสดง แต่กระนั้น ทั้งเลสลี่ จาง
และ หลิวเต๋อหัว ก็ยังไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้

แม้จะมีข่าวลือ ทั้งเรื่อง บท สี่เหวินเฉียง และ ติง ลี่ ที่ทั้งสองแสดง ซึ่งก็เป็นทั้งสองที่ออกมา
ให้ข่าวเองว่า หลิวเต๋อหัว เป็นคนที่ขอรับบท “ติงลี่” เอง ตั้งแต่การเข้าร่วมโปรเจคนี้ครั้งแรก
ถัดมาก็คือ เรื่องเพลง เนื่องจากละครโทรทัศน์เรื่อง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (1980) ที่โจวเหวินฟะ
และ หลี่เหลียงเหว่ย เคยได้แสดง บทเพลง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (上海灘) ที่ขับร้องโดย ฟรานซิส ยิป นั้นโด่งดังเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่จับตาว่า จะเป็น ราชาเพลงกวางตุ้งยุค 80s  อย่างเลสลี่ จาง หรือ จตุรเทพยุค 90s อย่างหลิวเต๋อหัว จะเป็นคนร้อง สุดท้ายก็กลายเป็น หลิวเต๋อหัวที่ร้องเพลงนี้ไป

ในช่วงเวลาถ่ายทำภาพยนตร์ผ่านพ้นไปได้ด้วย ทั้งสองได้พูดคุยกันตลอด หลิวเต๋อหัวเอง
เคยให้สัมภาษณ์ว่า เลสลี่ จาง เคยมาคุยกับเขาว่ารู้หรือไม่ ว่าที่ฮ่องกงได้ออกข่าวว่าเรา
ไม่กินเส้นกัน  หลิวเต๋อหัวเองก็รู้ว่าถึงจุดหนึ่งสื่อฮ่องกงแต่เล่นประเด็นของเขากับเลสลี่ จาง
เป็นแน่  ซึ่งสื่อก็เล่นงานเขาทั้งคู่จริงๆ ทั้งเรื่องข่าวที่ว่า เลสลี่ จาง ไปเจ้ากี้เจ้าการกับผู้กำกับ
จนได้รับบทมากขึ้น และค่าตัวของ หลิวเต๋อหัว ที่ได้เพียง 2 ล้านเหรียญ ส่วน เลสลี่ จาง
ได้ 5 ล้านเหรียญ ทั้งๆที่ตอนนั้น หลิวเต๋อหัวเพิ่งได้รับรางวัล ศิลปินยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย
จากเวที เอ็มทีวี ที่สหรัฐอเมริกามาหมาดๆ แต่สุดท้ายก็เป็นหลิวเต๋อหัวเองที่ออกมาแก้ข่าว
ให้กับ เลสลี่ จาง ทั้งหมด

ในช่วงเวลานั้นสื่อฮ่องกงโดยเฉพาะสื่อบันเทิงจะเล่นข่าวเรื่องราวเกี่ยวกันกับคนในวงการบันเทิงอย่างหนัก ถึงขนาดเคยไล่ขับรถชน รถ เลสลี่ จาง กับ แฟนหนุ่ม เพื่อที่จะให้ได้ข่าว จน เลสลี่ จาง ฟิวส์ขาด เดินเข้าหาและคว้ากล้องนักข่าวและแกะฟิล์มออกจากกล้อง การทำข่าวหนักๆแรงๆ การแอบถ่าย หรือสร้างประเด็นให้เกิดความแตกแยกในหมู่นักแสดง

แม้ภาพยนตร์ เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ เดอะ มูฟวี่ (1996) จะออกฉายไปเรียบร้อย แต่สื่อยังคงเล่นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างหลิวเต๋อหัว และ เลสลี่ จาง อย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ขายข่าว ทั้งเรื่องการเปรียบเทียบความสำเร็จด้านงานเพลง ของ เลสลี่ จาง ที่ในยุค 90s ดูจะแผ่วลงไป ทั้งเรื่องงานเพลงที่เคยถูกแต่งให้หลิวเต๋อหัว แต่สุดท้ายเป็นเลสลี่ จาง นำไปร้อง

การเชื่อมโยงข่าวต่างๆให้เกิดความแตกแยก สร้างความรำคาญใจให้กันกับทั้ง หลิวเต๋อหัว
และ เลสลี่ จาง เป็นอย่างมาก รวมถึงการเขียนข่าวพาดหัวที่ไม่ตรงกันกับเนื้อหาภายในบทสัมภาษณ์ที่แท้จริง สุดท้าย กลับกลายเป็นความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจริงๆกับ เลสลี่ จาง
จนกระทั่งเกิด ประโยคที่ เลสลี่ จางพูดถึง หลิวเต๋อหัวที่ญี่ปุ่น ซึ่งใจความหลักจริงๆ เลสลี่ จาง ต้องการบอกว่า “หลิวเต๋อหัวมันบ้า ไปเชื่อสื่อแบบนั้นได้อย่างไร” ทั้งๆที่จริงๆแล้ว หลิวเต๋อหัว
เองก็ไม่เคยสัมภาษณ์อะไรเกี่ยวกับเลสลี่ จางในทางไม่ดีมาก่อนเลย

เมื่อไฟจุดติดในเลสลี่ จาง สื่อจึงเร่งขยายผล โดยนำเรื่องราวเก่าๆเกี่ยวกับการแข่งขันของ
ทั้งซุปเปอร์สตาร์ ทั้งคู่มาตีแผ่ ตั้งแต่การแย่งชิงบทอาเฉีย ใน โหด เลว ดี (1986) ที่หลิวเต๋อหัวเองก็เคยถูกอยู่ในลิสต์ นักแสดงที่จะได้แสดงบทนี้ รวมถึงได้ร้องเพลง當年情 เพลงประกอบภาพยนตร์อันโด่งดัง แต่สุดท้ายกลับเป็น เลสลี่ จาง ที่ได้รับโอกาสไป รวมถึงบท โหวเป่าหวัง
ใน Happy Together (1997) ที่หว่องกาไวได้ทาบทามหลิวเต๋อหัวก่อน แต่บทนี้กลับไปเป็น
ของ เลสลี่ จาง อีกครั้ง

ฟางเส้นสุดท้ายของความแตกร้าว


จากปัญหาความเข้าใจผิดนั่นทำให้ทั้งสองไม่ได้ร่วมงานกันอีก หลายสำนักข่าวก็ยิ่งตีข่าว
ของทั้งสองยิ่งขึ้นเพื่อขายข่าว จนกระทั่งมาเกิดเรื่อง "ทาเจียเจิน" ผู้จัดการส่วนตัวของ
เลสลี่ จาง ในช่วงต้นปี 2000

เนื่องจากทางเลสลี่ จาง เองได้หมดสัญญากับทาง หวงไป่หมิง ตั้งแต่ปี 1995 ตัวเลสลี่ จาง
เองก็ไม่ได้เซ็นสัญญาให้บริษัทไหน หรือใคร รับงานแสดงให้กับเขาอีก จนกระทั่ง เขาได้แสดง ภาพยนตร์เรื่อง รักที่ตัว หัวใจไม่เกี่ยว Viva Erotica (1996) ทำให้เขารู้จักกันกับ ทาเจียเจิน
ซึ่งเป็นทั้งมือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างมือทอง ทั้งสองสนิทสนมกันจน เลสลี่ จาง
ให้เธอดูแลรับงานส่วนตัวของเขา ยาวนานถึง 6 ปี และ เป็น ทาเจียเจิน ที่ให้เลสลี่ จาง
รับงาน ภาพยนตร์ เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ เดอะ มูฟวี่

ระหว่าง 6 ปี นั้น เลสลี่ จาง ออกงานเพลง 7 อัลบั้ม ประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านรางวัล
แต่ด้านยอดขายกลับไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็เป็น ทาเจียเจินที่หาภาพยนตร์ให้เขา และต่อรอง
ราคาค่าตัวให้กับเขา จนทำเงานให้กับ เลสลี่ จาง ราว 50 ล้านเหรียญฮ่องกง

ซึ่งความจริงแล้วตัว ทาเจียเจินเอง มีความสนิทสนมกับหลิวเต๋อหัว เช่นกัน ตั้งแต่ ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ (1990) และกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในยึดถนนเก็บใจไว้ให้เธอ  Full Throttle (1995) เมื่อ ทาเจียเจิน มาดูแล เลสลี่ จาง ก็พอรู้ปัญหาของทั้งคู่ว่ามาจากความเข้าใจผิดที่เสี้ยม
โดยนักข่าวเอง จนเมื่อเรื่องราวของทั้งสองซาลง ทาเจียเจินจึงได้มีโอกาสไปช่วยวางแผน
การถ่ายทำภาพยนตร์ที่เมืองไทย เรื่อง หัวใจข้า...หัวใจนาง หัวใจหลอมเพชร
(A Fighter's Blues/2000) โดยไม่ได้คิดอะไร แต่สุดท้ายเลสลี่ จาง กลับเป็นคนบอก
เลิกสัญญา กับทาเจียเจินเอง  และไปเซ็นสัญญา กับทางบริษัท JC Group ของเฉินหลง

จากเหตุการณ์นี้ ร้อนไปถึงทั้งเหมยเยี่ยนฟาง อู๋จวินหยู และ เจิ้งจื่อเหว่ย ที่พยายามปรับ
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ให้มาพูดคุยกันอีกครั้ง แต่ด้วยความที่ทั้งคู่ต่างวุ่นวายในงาน
ของตนเองเลยรับทราบเพียงแค่กลายๆ ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เข้าใจผิดนั้น เป็นเพียงแค่สื่อ
ที่ต้องการสร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์ของทั้งคู่เพื่อขายข่าวเท่านั้น
และเป็นเหมยเยี่ยนฟาง และ อู๋จวินหยูเอง ที่พาทั้งสองมาร่วมงานกัน และเป็นช่วงเวลา
ที่ปรับความเข้าใจ ทั้ง เลสลี่ จาง และ หลิวเต๋อหัวได้สวมกอดกัน

จนกระทั่งการจากไปของ เลสลี่ จาง สื่อก็ประโคมข่าวอีกครั้งว่าเพราะหลิวเต๋อหัว
ไม่ยอมมางานศพ เลสลี่ จาง เพราะว่ายังไม่ลืมความบาดหมางในอดีต ซึ่งความจริงแล้ว
ทั้ง เฉินหลงหลี่เหลียนเจี๋ย และ หลี่หมิงเองก็ไม่ได้มาร่วมงาน แต่สื่อกลับไปเจาะจงประเด็น
ที่หลิวเต๋อหัว แม้ว่าหลิวเต๋อหัวจะเป็นคนที่ส่งหรีดแสดงความเสียใจคนแรกก็ตาม

ซึ่งความจริงนั้น หลิวเต่อหัวเองเคยให้สัมภาษณ์เมื่อนานมาแล้วว่า หลังจากงานศพของ
องเหม่ยหลิง เขาเองก็จะเลี่ยงไม่ไปงานศพ ของเพื่อนในวงการเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะ
ความเชื่อของคนฮ่องกง เรื่องโชคลางเกี่ยวกับวันเดือนปีเกิด การเดินทางไปงานศพบางงาน
อาจส่งผลให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวเจ็บป่วย  แต่เมื่อเกิดกรณีงานศพ ของ เลสลี่ จาง
ที่กลายป็นประเด็น ก็ทำให้หลิวเต๋อหัวต้องละเว้นความเชื่อในส่วนนี้และไปร่วมงานไว้อาลัย
ของเพื่อนในวงการมากขึ้น  และในการประกาศรางวัล Hong Kong Film Award ครั้งที่ 22

หลิวเต๋อหัว  และเพื่อนๆจตุรเทพ จางเซียะโหย่ว กัวฟู่เซิง หลี่หมิง ก็ได้ร่วมร้องเพลง 當年情 เพลงประกอบภาพยนตร์ โหด เลว ดี (1986) ที่เลสลี่ จางแสดง และขับร้องเพลงนี้
เพื่อเป็นการรำลึกถึงเขา

เรื่องราวความบาดหมางของทั้ง หลิวเต๋อหัว และ เลสลี่ จาง เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยอยากเขียนถึงเท่าไหร่ ในการสัมภาษณ์เจิ้งจื่อเหว่ย ในก่อนที่เขาจะอายุ 60 ปี เมื่อถามย้อนกลับไป
ว่าเรื่องราวใดในวงการบันเทิงที่สร้างความเสียใจให้กับเขามากที่สุด เขากลับกล่าวว่า
เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งเลสลี่ จาง และหลิวเต๋อหัว ที่เขาไม่เคยคิดว่าสื่อจะทำร้าย
คนสองคนที่เขารักและรู้จักให้เกิดความบาดหมางกันได้ขนาดนี้

ที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องราวนี้มา มิใช่ให้สหายเพจท่านอ่านเพียงเพื่อรับรู้เรื่องราวในอดีตเพียงเท่านั้น แต่หวังใจให้ท่านไตร่ตรอง ในปัจจุบันมีการใช้สื่อในรูปแบบการสร้างความเกลียดชัง
จนเกิดการด่าทอ ว่าร้ายกัน บางหัวข่าวกับเนื้อหาก็แทบจะไม่ต้องตรงกัน การหยิบเพียง
ข้อความสั้นๆในบทสัมภาษณ์ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดซึ่งกัน เพื่อให้คนกลุ่มใดกลุ่มนึง
ได้ประโยขน์จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ดั่งในกรณีหลิวเต๋อหัว และ เลสลี่ จาง ที่สื่อได้ขายข่าว

แม้กระทั่ง อีกฝ่ายเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังสร้างประเด็น ความขัดแย้ง เพื่อให้ตนได้ผลประโยชน์ สำหรับข้าพเจ้านั่นนับว่าเป็นความสามานย์ที่แท้
จากที่เกริ่นถึงบทความไปเมื่อคืน ล้วนมีมุ่งหมายให้ท่านพิจารณาเรื่องราวให้ถี่ถ้วน บางเรื่องราว บางคำพูดของบางคนนั้นแม้จะถูกหยิบยกมาจากเรื่องราวจริงที่เคยเกิดขึ้น  แต่เรื่องราวแท้จริงนั้นอาจมิใช่เรื่องราวทั้งหมดเช่นกัน


พิจารณาใบไม้ไม่เห็นต้นไม้ พิจารณาต้นไม้ไม่เห็นป่า บางเรื่องราวหากอยากมองเห็นทั้งหมด อาจจะต้องใช้ความเข้าใจ และ วันเวลา ยากยิ่งนักที่จะตัดสินผู้คนให้ถ่องแท้จากคำพูดเพียงหนึ่งประโยค หรือเหตุการณ์เพียงเหตุการณ์เดียว

บทความโดย เพจเก้ากระบี่เดียวดาย

0 Comments 0 Comments
0 Comments 0 Comments